Languages and Skills (I)

It’s Memorial Day weekend! จริงๆไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่เลย เพราะไม่มีแพลนอะไรพิเศษนอกจาก BBQ party @ Jason’s place. วันจันทร์ที่จะถึงนี้ แล้วก็คงจะต่อด้วย Pirates of the Caribbean: At World’s End. ที่เพิ่งเข้าโรงไปสองวันที่ผ่านมา…วันนี้ทั้งวันก็เลยนั่ง steam cleaned carpet ในห้อง แล้วก็ล้างทำความสะอาดไปทั่วห้องนอน ห้องน้ำ ทำให้รู้สึกห้องสะอาดแล้ววันนี้ก็อากาศดีอีกด้วย ลมเย็นๆ ร่มรื่นท่ามกลางต้นไม้ แบบว่าบรรยากาศตอนบ่ายๆมันดีจริงๆนะ เหมือนกำลังอยู่ในบ้านพักตากอากาศ ฮ่าๆ เวอร์ไปหน่อย เมื่ออากาศเป็นใจอย่างนี้แล้ว ก็มีเหรอจะทำงาน เรื่องเขียน paper ก็เลย put aside เอาไว้ก่อน มานั่งทำอย่างอื่นดีกว่า

Arts and languages เป็นสิ่งที่เราชอบมากๆมาตั้งแต่ไหนแต่ไร บางทีก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงมาเรียน science ได้ หลายคนเวลาพบเจอเราก็มักจะคิดว่าเราอยู่ทางสายศิลป์ แล้วก็มักจะแปลกใจเมื่อรู้ว่าเราเรียนหรือทำอะไรอยู่ หรือว่าเราไม่มีบุคลิกอยู่ทาง science ก็ไม่รู้หมือนกัน รู้เพียงว่าว่างเมื่อไหร่ หากไม่มีสอบ คงไม่มานั่งอ่าน update ทางด้านวิทยาศาสตร์อะไร…

ยังจำได้ NYE party ที่ผ่านมา เราได้รับการยกย่องให้เป็น genius จากกลุ่มเพื่อน asian-american ที่นี่ ทั้งๆที่รู้ว่าพูดเล่น พูดเวอร์หรือพูดเกินจริง (ได้ข้อสรุปว่าคนที่นี่เค้าก็โลกไม่ค่อยกว้างนะ แบบว่าถ้าเรา genius คงจะต้องเปลี่ยนความหมายของคำซะแล้ว) แต่พอได้ยิน บางทีก็ทำให้ยิ้มได้เหมือนกัน หนึ่งในสมบัตินั้นก็คือเค้าบอกว่าเราเป็น quadri-lingual (เพิ่งเคยได้ยินคำนี้ก็ตอนนั้นเอง) เนื่องจากเราสามารถพูดฟัง ภาษาอังกฤษ ไทย แมนดาริน และแต้จิ๋วได้ แต่สองภาษาหลังนั้น จริงๆคงมีเพียงทักษะการฟังและเขียนเล็กน้อย ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่เมื่อสามารถพูดประโยคตัวอย่างออกมาได้ คนฟังก็เลยประทับใจละมั้ง ฮิๆ

ก็จากตรงนั้น ทำให้เราก็อยากจะเป็น quadri- หรือ penta- lingual จริงๆขึ้นมาเหมือนกัน การมีชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี่ ไม่รู้เป็นอย่างไร แต่มักจะรู้สึกอยากพัฒนาตนตลอดเวลา อาจจะเพราะว่ามีเวลาให้กับตนเองมากก็ได้ ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา พยายามรื้อฟื้นภาษาจีนที่เรียนมานานแสนนาน ก็พอเขียนได้มากขึ้นแล้วก็อ่านออกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่สามารถทำได้ต่อเนื่อง เนื่องจากต้องเอาเวลาไปเตรียมสอบและเตรียมงานที่เป็นงานหลักอยู่

ในขณะเดียวกัน ก็พยายามที่จะศึกษาภาษาญี่ปุ่นไปด้วย สาเหตุก็เพราะความสนใจส่วนตัว แล้วก็ไม่อยากให้เป็น ภาษา mysterious กับเราอีกต่อไป คืออยากจะอย่างน้อยก็อยากจะมี idea บ้างเวลาเห็นอักษร kanji หรือ hiragana …. เวลาไปญี่ปุ่นจะรู้สึก excluded ยังไงไม่รู้ ถึงแม้ kanji จะมีหลายๆตัวที่รู้จักอยู่ แต่หลายๆlabel หลายๆป้ายก็มี hiragana อยู่ อยากจะรู้ อยากจะอ่านให้ออกว่ามันคืออะไร….

ว่าแล้วก็คิดว่าเป็นโอกาสดีที่กำลังจะไป Keio university เลยถือเป็นแรงกระตุ้นให้เรา practice ในสองเดือนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมาหน่อยก็แล้วกัน…..

สมัยที่ทำงานอยู่ มธ.และมีโิอกาสได้เป็น MC ของ international conference บ่อยๆนั้น พอลงมาจาก podium มักจะมีคนถามว่าเราไปเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนมา หรือว่าไปฝึกกับใครอย่างไร อะไรต่างๆ พอบอกว่าไม่ได้ไปฝึกที่ไหน บางคนก็จะกังขา นึกว่าเราหมกเม็ดไม่ยอมบอกอีกซะนั่น บางคนก็พูดทีเล่นทีจริงว่าสงสัยเราตื่นนอนมาวันหนึ่งแล้วพูดได้เอง… เราเองก็ไม่คิดว่าตัวเองพูดได้เก่ง แต่คิดว่าการเรียนภาษาจะต้องเขียนออกมา และต้องพูดออกมา การรู้ grammar จำ vocabได้ เท่านั้นไม่พอ ต้องเอามาใช้เป็นประโยคของตนเองให้ได้ จะผิดหรือถูกก็ลองใช้ไป แล้วก็เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดนั่นเอง…..จากหลักการอันนี้ เลยว่าจะเอามาใช้กับการเรียนภาษาญึ่ปุ่นด้วย แต่ด้วยความที่ภาษาอังกฤษเกือบจะเป็นภาษาพื้นฐานของการศึกษาที่ประเทศไทยไปแล้ว การเรียนรู้ก็คงไม่ยากเท่าไหร่ แต่สำหรับการเริ่มภาษาใหม่นี่น่ะสินะ คงจะต้องมี motivation ให้กับตนเองพอสมควร ….

วันนี้ก็เลยเอาที่เรียนมาเขียนใส่ไว้ในนี้ (hiragana) และจะพยายาม update เขียนรายวันไปเรื่อย (แต่อาจจะไม่มาใส่ใน blog นี้น่ะ) ตามที่เวลาเอื้ออำนวย….

こんにちは。げんきですか? わたしはどりでく。はじめまして。よろしくおねがいします。 しばらくですね。あなたたわはいそがしいでくか? わたしもがしいでく。またあしたね。

Konnichiwa. Genki desu ka? Watashi wa dori desu. Hajimemashite. Yoroshiku onegaishimasu. Shibaraku desu ne. Anatatachi wa isogashii desu ka? Watashimo isogashii desu. Mata ashita ne.

[Hello! How are you? I’m Dori. Nice to meet you. Please be kind to me.
It’s been a while. Are you guys busy? I’m busy, too. See you tomorrow. ]

ลองฟังดู อาจจะฟังbroken หน่อยๆ แต่ก็นะ เป็น reference for further improvement…
ตั้งใจจะเอาประโยค あなたたちはいそがしいでくか? ไปถาม たかし(Takashi) และ けんたろ (Kentaro) ในอาทิตย์หน้าเนี่ยแหละ เห็นทำงานกันหนักจริงๆ….

เขียนไปเขียนมาเริ่มง่วงซะแล้ว ตอนแรกกะจะเขียนเรื่องการพัฒนา skills อื่นๆไปด้วย ว่าทุกอย่างมันฝึกกันได้นะ ขอให้มีใจรักก็พอ…เอาไว้จะมาต่อภาคต่อไปก็แล้วกัน ตอนนี้เลย tag part I เอาไว้ก่อน

ปิดท้ายด้วยรูปบรรยากาศหน้าห้องในค่ำคืนนี้ จริงๆไม่สว่างอย่างนี้แต่ใช้ ISO1000 ถ่ายจ้า…

すてきなよるですね!

(Romaji: Suteki na yoru desu ne! … It’s a lovely night!)

Leave a comment